โรคไข้เลือดออก ในปัจจุบันนี้ เราสามารถพบโรคไข้เลือดออกได้ประปรายเกือบตลอดปี และ จะพบบ่อยขึ้นเมื่อย่างเข้าฤดูฝน
โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะและไม่มีวัคซีนป้องกันที่ได้ผลดี การรักษาที่ทันท่วงทีถูกขั้นตอนจะช่วยผู้ป่วยได้ โดยมากมักจะไม่เสียชีวิต แต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นก็จัดเป็นโรคอันตรายโรคหนึ่ง ดังนั้นเราควรทำความรู้จักกับโรคนี้บ้าง เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา
การติดต่อ
โรคนี้ติดต่อถึงกันได้ โดยการที่ยุงลาย ( เป็นยุง ขาลาย ตัวลาย ) ซึ่งหากินในช่วงเวลากลางวันไปกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เชื้อจะแพร่ขยายจำนวนในตัวยุงเมื่อยุงนั้นไปกัดเด็กซึ่งไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน เชื้อไวรัศไข้เลือดออกจะเข้าสู่ตัวเด็กและจะทำให้เด็กคนนั้นเป็นโรคไข้เลือดออกหลังจากถูกยุงกัดประมาณ 5-10 วัน
ระยะการฟักตัว
- ระยะฟักตัวในยุง 8-10 วัน
- ไวรัสในกระแสโลหิต
- ยุงมีตลอด 1-2 เดือน
- คนไข้ขณะมีไข้สุง
- กัดเด็กระยะฟักตัวในคน 5-8 วัน
อาการและอาการแสดง
โรคนี้พบมากในเด็กอายุตั้งแต่ 3-9 ปี แต่ที่อายุน้อยกว่านี้และในผู้ใหญ่ก็พบได้ประปลาย อาการเริ่มโดยเด็กมีไข้สูงซึ่งกินยาลดไข้มักไม่ค่อยได้ผล อาจมีน้ำมูกได้เล็กน้อย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อาเจียร ซึ่งอาการนี้จะอยู่ราว 3-5 วัน
หลังจากนั้น ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็วผู้ป่วยส่วนใหญ่ ( 70%) จะหายดีโยไม่ต้องทำอะไรนอกจากกินยาลดไข้ ( พาราเซตตามอน ) อย่างเดียว ผู้ป่วยส่วนที่เหลือ ( 30% ) จะมีอาการซึมลงอีก กระสับกระส่าย ตัวเย็น หรือปวดท้องมาก ซึ่งเป็นอาการสำคัญมากแตกต่างจากไข้ในโรคอื่นๆ เพราะว่าอาการจะเป็นมากขึ้นในขณะไข้ลดลง หรือไม่มีไข้แล้ว ซึ่งถ้ามีอาการดังกล่าวควรนำผู้ป่วยไปส่งแพทย์อย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีอย่าปล่อยผู้ป่วยไว้หรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจมีอาการมากขึ้น ซึ่งอาจมีเลือดออกตามที่ต่างๆ เช่น อาเจียรเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งถ้ายังไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอีกผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้
ข้อควรปฎิบัติ ( ติดตามตอนต่อไป )