วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

แย่แล้วค่ะน้ำท่วมบ้าน



เมื่อคืนวันที่ 13 เวลา ตี 2

ตอนนั้นน้ำป่ากำลังมาเร็วมาก


ในขณะที่แต่ละบ้านกำลังหลับสบาย



มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว



บ้านหลังนี้ไม่เคยเจอน้ำท่วมมาก่อน



แต่มันก็เข้ามาโดยที่เจ้าของบ้านไม่ได้เชื้อเชิญ



นี่คือสภาพตอนเช้า


เข้าของเสียหายเยอะมาก

ไม่เหลือ เซงเลย


แต่ก็ยังดีที่ทางเทศบาลได้เข้ามาช่วยคนละไม่ละมือ


ไม่ได้ทางเทศบาลมาช่วยล้างเนี้ยแย่เลย


นี่ก็เป็นบ้านของชนเผ่า อาข่า หลังจากที่โดนน้ำป่า ( ภาพที่ 1 )


โหดร้ายมากต้นไม้ก็ไม่เหลือ


จากลำห้วยเล็กๆ ต้องเป็นแบบนี้



เปรียบเทียบจากภาพที่ 1 ตอนที่ยังไม่โดนน้ำป่า และ เป็นพื้นที่อุดมสมบรูณ์


นี่ก็เป็นชนเผ่าอาข่าที่มีไม่กี่หลังคาเรือน



ต้องขอขอบคุณ ทางหน่วยงาน อบจ. จังหวัดเชียงรายที่ไม่ได้ทอดทิ้งชาวบ้าน พอทราบข่าวก็เข้ามาช่วยเหลือทันที


และขอขอบคุณอีกหลาย ๆ หน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือและให้กำลังใจกับผู้ประสบภัย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก



















วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมพ่นหมอกควันในหมู่บ้าน หมู่ที่ 7 บ้านนางแลใน ที่ผ่านมา

โหกว่าจะได้สวนหย่อมกลับคืนมาเหนื่อยสุดๆ เลย


นี่ก็เป็นมุมที่ชอบมานั่งเล่นในช่วงเย็นๆ ( กลึ่มๆ เย็นๆ อิอิอิ )


จะหนีไปใหนโดนต้มแน่เย็นนี้ ( เจ๊ยบๆ )



จับได้คาหลังคาเขาแล้วเสร็จแน่ๆ เจ้าตัวนี้เองที่ชอบมาเขี่ยสวนของเรา



ทนเอาหน่อย อีกนิดก็จะเสร็จล่ะ



ใครก็ได้มาช่วยเก็บหน่อย ไม่มีใครช่วยทำเองก็ได้


ประกาศรับสมัครคนทำสวนจร้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ



แถมท้ายกับบ้านของ อสม. ที่งานเยอะสุดๆ และรกสุดๆ



อสม. บ้านนางแลใน ร่วมกับเทศบาลตำบลนางแล กับการพ่นหมอกควันในหมู่บ้าน


ก่อนลงมือทำเติมน้ำมันและตรวจสอบความเรียบร้อยของเครื่องก่อน
สัปรดนางแลหวานๆ จร้า

จะพ่นหมอกควันก็พ่นไป ผมจะเลียงสัปรดก่อน



พ่นเข้าไปบรรดายุงทั้งหลายอย่าให้รอด


ไหพ่นทุกซอกทุกมุม สงสัยต้นไม่จะตายก่อนยุง 5555



อ้าวๆ ท่าน สท. แดง หมดน้ำมันเหรอ อิอิอิ



พ่นเข้าไปอย่าให้รอดน่ะจับยุงทำหมันให้หมด


อ้าวลุงยืนชี้นิ้วทำไมไปพ่นหมอกควันเร็ว


เป็น อสม.ต้องอย่างงี้ซิเยี่ยมๆ หุหุหุ


















วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กิจกรรม ตรวจวัดความดัน งานขอบคุณพระเจ้าที่ป่าซางวิวัฒ หมู่ 10 ต.นางแล

หน่วยปฐมพยาบาลของ อสม. ตำบลนางแล บริการตรวจวัดความดัน

ประธาน อสม.ตำบลนางแล ได้มาตรวจวัดความดัน


ท่านนายกค่ะยิ้มมีความสุขอย่างนี้คงไม่มีความดันหรอกค่ะ


ท่านปลัดค่ะไม่ต้องเครียดค่ะเดี๋ยวความดันขึ้น อิอิอิ


ผอ. ทั้งสองค่ะตั้งหน้าตั้งตาดูไรอ่ะเขาถ่ายรูปกันอยู่



วันนี้เต็มที่จ้าทานฟรีไม่มีจ่าย ใส่ถุงกลับบ้านก็ยังได้นะจ๊ะ



หุหุใครอ่ะคุ้นๆ ปั้นจิ้มๆ ตามสบายนะคะ












ระวังภัยในเด็กช่วงหน้าฝน

โรคในเด็ก ที่มากับฝน อันตรายต้องระวัง

ฤดูฝนแต่ละปี จะพบเด็กไม่สบายบ่อย เพราะอากาศเริ่มเย็น และชื้นมากขึ้น แถมยังมีเชื้อไวรัสอีกมากมายที่ทำให้เด็กๆ ไม่สบายได้ โรคเด็กที่พบบ่อยในฤดูฝนคือ โรคติดเชื้อเฉียบพลันในทางเดินหายใจ โรคที่มียุงเป็นพาหะ เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบ ถ้ามีน้ำท่วมขัง ก็จะมีโรคเท้าเปื่อยด้วย

โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ แบ่งได้เป็น

- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ

- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ โรคทางเดินหายใจอุดตันกะทันหันจากกล่องเสียงอักเสบ (CROUP) และโรคหอบหืด

อาการส่วนใหญ่ จะมีน้ำมูกไหล คันตา จาม ไอ และอาจจะมีเจ็บคอ ไข้ ปวดศีรษะ และเบื่ออาหารร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นใน 5-7 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน เช่น หูชั้นกลางอักเสบ (เจ็บหู) หรือไซนัสอักเสบ (ปวดศีรษะ) หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้น อาจจะสังเกตได้จากน้ำมูกที่เปลี่ยนสีจากใสๆ เป็นเขียวๆ เหลืองๆ ไอมากขึ้น ไข้สูงนานกว่า 3 วัน หรือหายใจลำบาก ควรจะพาไปพบกุมารแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

บางรายได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่มา ก็จะมีอาการที่รุนแรง และอยู่นานกว่าไข้หวัดธรรมดา ในรายที่เป็นไม่มาก สามารถดูแลอยู่ที่บ้านได้โดย ให้เด็กพักผ่อน ดื่มน้ำอุ่นๆ รับประทานยาลดไข้ (ถ้ามีไข้) ดูแลให้สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นถ้าอากาศเย็น ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมขณะที่เป็นไข้หวัด โดยเฉพาะเด็กเล็ก ในเด็กเล็กๆ ที่มีน้ำมูกอาจจะช่วยโดยใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำเกลือเช็ดจมูก หรือหยดน้ำเกลือในโพรงจมูกแล้ว ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกออก ก่อนดูดนมและก่อนนอน ก็จะช่วยให้เด็กดูดนมและนอนหลับดีขึ้น

โรคปอดบวม

เป็นจากการติดเชื้อไวรัส และ/หรือแบคทีเรีย อาการส่วนใหญ่จะมีเหมือนไข้หวัดมาก่อน แต่จะเริ่มหายใจเร็วขึ้น มีไข้สูง และถ้าเป็นมากขึ้น เด็กจะเริ่มหอบ หายใจลำบากขึ้นจนมีจมูกบาน หรือชายโครงบุ๋ม ริมฝีปากเขียว และถ้าเริ่มเห็นอาการเหล่านี้ ควรพาไปพบแพทย์

โรคหลอดลมอักเสบและหอบหืด

ส่วนใหญ่จะเริ่มจากมีน้ำมูกใสๆ ไข้ต่ำๆ ไอ ซึ่งอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนหายใจเข้าได้ไม่เพียงพอ หรือถ้ามีอาการหอบ ก็อาจจะได้ยินเสียงวี้ด (WHEEZING) หายใจเร็วขึ้น ชายโครงบุ๋มและจมูกบานได้ ส่วนมากถ้าเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน อาการหอบครั้งแรก มักจะเป็นจากการติดเชื้อไวรัส หรือจากปอดบวม ส่วนเด็กที่มีอาการหอบเรื้อรังเป็นๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ จนโต จะเรียกว่า โรคหอบหืด ซึ่งจะต้องระวัง เพราะอาการหวัดก็สามารถทำให้เด็กพวกนี้หอบได้

โรคทางเดินหายใจอุดตันกะทันหันจากการบวมอักเสบของกล่องเสียงที่ลามไปถึงหลอดลมใหญ่ (VIRAL CROUP) ในฤดูฝนจะมีเชื้อไวรัสบางชนิดที่จะทำให้เกิดอาการนี้ได้ ส่วนใหญ่จะเห็นในเด็กอายุ 3 เดือน ถึง 3 ขวบ และจะมาด้วยอาการไข้ ไอเสียงก้อง (BARKING COUGH) เริ่มหายใจเสียงดัง และใช้กล้ามเนื้อส่วนคอในการหายใจเข้า ซึ่งจะเห็นได้เมื่อหลอดลมเริ่มอุดตันจากอาการบวมมากขึ้น ควรพาไปพบแพทย์ทันที

ไข้หวัดและโรคแทรกซ้อนจากหวัด เป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ เพราะยังไม่มีภูมิต้านทานที่ดีพอ ฤดูฝนเป็นฤดูที่มีเชื้อไวรัสหลายชนิดที่ทำให้เกิดเป็นหวัดได้ และสามารถติดต่อกันได้ง่ายจากอากาศที่หายใจ

ประวัติความเป็นมาของสัปรดนางแล


ประวัติสับปะรดนางแล
ผู้ที่นำสับปะรดนางแลมาปลูกในตำบลนางแลครั้งแรก (ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายซึ่งตำบลนี้ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 12 กิโลเมตร ทางไปอำเภอแม่จัน ซึ่งปลูกสับปะรดนางแลมาที่สุด) ชื่อ “นายเข่ง แซ่อุย” เป็นชาวจีนไหหลำ อพยพมาจากประเทศจีน ได้ภรรยาชื่อ นางจันทร์ เกิดคำ เดิมอาศัยอยู่ที่บ้านปากกอง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ แล้วอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านป่าซางวิวัฒน์ หมู่ที่ 17 ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย นายเข่ง ได้กลับไปเยี่ยมญาติ และได้นำสับปะรดพันธุ์นี้มาจากสิงคโปร์ ประมาณปี พ.ศ. 2480 ประมาณ 30 หน่อ โดยมี 3 พันธุ์ คือ
- พันธุ์ใบอ่อนมีหนาม ขนาดผลเล็กหวานหอม เนื้อกรอบ- พันธุ์ใบแข็งมีหนาม ขนาดผลใหญ่กว่าพันธุ์ใบอ่อน มีหนาม หวานหอม ฉ่ำ ตาตื้น- พันธุ์ใบไม่มีหนาม (มีหนามปลายใบเล็กน้อย) ขนาดผลใหญ่ ตาโปนยื่นออกมา หวาน หอม เป็นพันธุ์ที่ปลูกกันแพร่หลายอยู่ทุกวันนี้ โดยนำมาปลูกที่หลังโบสถ์ คริสตจักรบ้านป่าซางวิวัฒน์เป็นครั้งแรก ปรากฎว่าในปีแรกสับปะรถทั้ง 3 พันธุ์ นี้ มีเนื้อขาว หวาน กรอบ แต่ปีต่อ ๆ มา สีเนื้อได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำผึ้ง หวานฉ่ำ กลิ่นหอม เหมือนน้ำผึ้ง นายเข่ง แซ่อุย หรือ โกเข่ง เป็นคนที่หวงพันธุ์มาก จึงทำให้สับปะรดพันธุ์นี้แพร่ขยายพันธุ์ช้า
ในปี พ.ศ. 2505 กำนันคำลือ เขื่อนเพชร กำนันเก่าตำบลนางแล ได้ซื้อหน่อสับปะรด จำนวน 30 หน่อ จากสวนนายเข่ง แซ่อุย มาปลูกและไม่หวงพันธุ์สับปะรดพันธุ์นี้จึงได้แพร่ขยายพันธุ์ต่อไป และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั่วไป และมีชื่อเสียงตราบเท่าทุกวันนี้
**********************

ประโยชน์ของสัปรดนางแล


ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือ ทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย
สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด
การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียว ๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน
การรับประทานที่ถูกวิธี คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน
ทราบถึงประโยชน์ของสับปะรดกันแล้ว ก็อย่าลืมหันมารับประทานสับปะรดกันเยอะ

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เข้าหน้าฝนแล้วเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกกันด้วยค่ะ

สีข้อความโรคไข้เลือดออก
ในปัจจุบันนี้ เราสามารถพบโรคไข้เลือดออกได้ประปรายเกือบตลอดปี และ จะพบบ่อยขึ้นเมื่อย่างเข้าฤดูฝน
โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะและไม่มีวัคซีนป้องกันที่ได้ผลดี การรักษาที่ทันท่วงทีถูกขั้นตอนจะช่วยผู้ป่วยได้ โดยมากมักจะไม่เสียชีวิต แต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นก็จัดเป็นโรคอันตรายโรคหนึ่ง ดังนั้นเราควรทำความรู้จักกับโรคนี้บ้าง เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา
การติดต่อ
โรคนี้ติดต่อถึงกันได้ โดยการที่ยุงลาย ( เป็นยุง ขาลาย ตัวลาย ) ซึ่งหากินในช่วงเวลากลางวันไปกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เชื้อจะแพร่ขยายจำนวนในตัวยุงเมื่อยุงนั้นไปกัดเด็กซึ่งไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน เชื้อไวรัศไข้เลือดออกจะเข้าสู่ตัวเด็กและจะทำให้เด็กคนนั้นเป็นโรคไข้เลือดออกหลังจากถูกยุงกัดประมาณ 5-10 วัน
ระยะการฟักตัว
- ระยะฟักตัวในยุง 8-10 วัน
- ไวรัสในกระแสโลหิต
- ยุงมีตลอด 1-2 เดือน
- คนไข้ขณะมีไข้สุง
- กัดเด็กระยะฟักตัวในคน 5-8 วัน
อาการและอาการแสดง
โรคนี้พบมากในเด็กอายุตั้งแต่ 3-9 ปี แต่ที่อายุน้อยกว่านี้และในผู้ใหญ่ก็พบได้ประปลาย อาการเริ่มโดยเด็กมีไข้สูงซึ่งกินยาลดไข้มักไม่ค่อยได้ผล อาจมีน้ำมูกได้เล็กน้อย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อาเจียร ซึ่งอาการนี้จะอยู่ราว 3-5 วัน
หลังจากนั้น ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็วผู้ป่วยส่วนใหญ่ ( 70%) จะหายดีโยไม่ต้องทำอะไรนอกจากกินยาลดไข้ ( พาราเซตตามอน ) อย่างเดียว ผู้ป่วยส่วนที่เหลือ ( 30% ) จะมีอาการซึมลงอีก กระสับกระส่าย ตัวเย็น หรือปวดท้องมาก ซึ่งเป็นอาการสำคัญมากแตกต่างจากไข้ในโรคอื่นๆ เพราะว่าอาการจะเป็นมากขึ้นในขณะไข้ลดลง หรือไม่มีไข้แล้ว ซึ่งถ้ามีอาการดังกล่าวควรนำผู้ป่วยไปส่งแพทย์อย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีอย่าปล่อยผู้ป่วยไว้หรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจมีอาการมากขึ้น ซึ่งอาจมีเลือดออกตามที่ต่างๆ เช่น อาเจียรเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งถ้ายังไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอีกผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้
ข้อควรปฎิบัติ ( ติดตามตอนต่อไป )

ต้อนรับ อสม. น้ำแรม จังหวัดแพร่ ที่ได้มาศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพ ต. นางแล

คุณหมอสังคมหัวหน้าสถานีกำลังกล่าวต้อนรับ อสม. น้ำแรม จังหวัดแพร่


หุหุหุ หัวหน้าเราหล่อใช่ใหมจ้องกันใหญ่เลย



ประธานสร้างเสริมสุขภาพกำลังกล่าวทักทาย และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น



มัวแต่ถ่ายให้แต่คนอื่นขอสักหน่อยน่ะ



ขอบอกคนที่มากความสามารถคือหัวหน้าเราเอง



ตอนนี้เขารณรงค์คนไทยไร้พุง เหตุไฉนท่านถึงเป็นคนไทยไว้พุงล่ะ


เกิดมาหน้าตาดีขออีกภาพน่ะ อิอิอิ



ถ่ายรูปร่วมกับ อสม. น้ำแรม จังหวัดแพร่



ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเพื่อของบประมานว่ามาศึกษาดูงานจริง ๆ